ฐานข้อมูลเนื้อหาฉบับเต็ม (Full-Text Databases) หมายถึง ฐานข้อมูลที่ให้สารสนเทศครบถ้วน เช่นเดียวกับต้นฉบับ เช่น ฐานข้อมูล Science Direct, IEEE/IEE Electronic Library (IEL) หรือ ACM Digital Library เป็นต้น ประเภทของฐานข้อมูลออนไลน์ 1. ฐานข้อมูลอ้างอิง (Reference Databases) บางครั้งเรียกว่า ฐานข้อมูลบรรณานุกรม (Bibliographic Databases) 2. ฐานข้อมูลต้นแหล่ง (Source Databases) หรือ Non-bibliographic Databases หรือ Factual Databases บางครั้งเรียกว่า ธนาคาร ข้อมูล (Databank) 2. 1 ฐานข้อมูลตัวเลข (Numeric Databases) 2. 2 ฐานข้อมูลเนื้อหาผสมตัวเลข (Textual-Numeric Databases) 2. 3 ฐานข้อมูลคุณสมบัติ (Properties Databases) 2. 4 ฐานข้อมูลเนื้อหาสมบูรณ์ หรือฐานข้อมูลฉบับเต็ม (Full-text Databases) • นอกจากนั้นอาจจำแนกเป็น 1. ฐานข้อมูลทรัพยากรสารสนเทศในห้องสมุด (Web OPAC) 2. ฐานข้อมูลออนไลน์ (Online Databases) 3. ฐานข้อมูลซีดีรอม 4. ฐานข้อมูลบนอินเทอร์เน็ต • หรือจำแนกตามสาขาวิชาเป็น 1. ฐานข้อมูลมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ 2. ฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์สุขภาพ 3. ฐานข้อมูลวิทยาศาสตร์ และเทคโนโลยี ที่มา:
1 การใช้ภาษาไทยกับ UTF-8 การใช้ UTF-8 ในส่วนของ Collection นั้นในส่วนของฐานข้อมูล การสร้างตารางหรือแม้แต่ฟิวส์ให้ใช้เป็น UTF-8 และในการ Import หรือ Export ข้อมูลก็จะต้องใช้เป็น UTF-8 เช่นเดียวกันครับ ตามรูปตัวอย่างครับ การกำหนด Collation ของตาราง การกำหนด Collation ของฟิวส์ การกำหนด Collation ในส่วนของการ Import หรือ Export 1. 2 การกำหนด Header ในเว็บไซต์ให้ใช้เป็น UTF-8
71 KiB) Viewed 40681 times จากรูปที่ 1. 5 จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่า รหัสประจำตัวนักศึกษาเเละรหัสบัตรประชาชน จะไม่เป็นค่าซ้ำและค่าว่างอย่างเเน่นอน ดังนั้นรหัสประจำตัวนักศึกษาเเละรหัสบัตรประชาชน คือ Candidate Key reign Key (คีย์นอก) เป็นคีย์ที่ใช้เชื่อมความสัมพันธ์กับตารางอื่นๆ รูปที่ 1. 6 Foreign Key (คีย์นอก) Foreign (145. 6 KiB) Viewed 40681 times จากรูปที่ 1. 6 ตารางนักศึกษามีคอลัมน์รหัสประจำตัวนักศึกษาเป็น Primary Key และในตารางการลงทะเบียนมีคอลัมน์รัหัสวิชาเป็น Primary Key เเต่เมื่อ 2 ตารางมีความสัมพันธ์กัน คอลัมน์รหัสประจำตัวนักศึกษาจะเป็น Foreign Key ของตารางการลงทะเบียน ซึ่งความสัมพันธ์แบบ One-to-Many (ศึกษาความสัมพันธ์ของระบบฐานข้อมูลเพิ่มเติม)
แบ่งโดยใช้ขอบเขตของงาน การแบ่งโดยใช้ขอบเขตของงาน แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ประเภทผู้ใช้คนเดียว ประเภทผู้ใช้เป็นกลุ่มและประเภทองค์การขนาดใหญ่ ดังได้กล่าวรายละเอียดในตอนต้นแล้ว 3. แบ่งตามสถานที่ตั้ง การแบ่งตามสถานที่ตั้ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ประเภท ศูนย์กลาง และประเภทกระจาย ทั้งสองประเภทมีรายละเอียดดังนี้ 3. 1 ประเภทศูนย์กลาง เป็นระบบฐานข้อมูลที่นำเอามาเก็บไว้ในตำแหน่งศูนย์กลาง ผู้ใช้ทุกแผนก ทุกคนจะต้องมาใช้ข้อมูลร่วมกัน ตามสิทธิ์ของผู้ใช้แต่ละกลุ่มหรือแต่ละคน 3. 2 ประเภทกระจาย เป็นระบบฐานข้อมูลที่เก็บฐานข้อมูลไว้ ณ ตำแหน่งใด ๆ ของแผนก และแต่ละแผนกใช้ฐานข้อมูลร่วมกันโดยผู้มีสิทธิ์ใช้ตามสิทธิ์ที่ได้กำหนดจากผู้มีอำนาจ การเข้าถึงข้อมูล เช่น ฐานข้อมูลของฝ่ายบุคคลเก็บไว้ที่แผนกทรัพยากรบุคคล ยอมให้ฝ่ายบัญชีนำรายชื่อของพนักงานไปใช้ร่วมกับฐานข้อมูลการจ่ายโบนัส และในขณะเดียวกันฝ่ายบัญชีมีฐานข้อมูลเก็บเงินเดือน สวัสดิการและรายจ่ายต่าง ๆ ของพนักงานเพื่อให้แผนกอื่นๆ เข้ามาใช้ได้เช่นกัน 4. แบ่งตามการใช้งาน การแบ่งตามการใช้งาน แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ฐานข้อมูลสำหรับงานประจำวัน ฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจ และเพื่อเป็นคลังข้อมูล 4.
แบ่งโดยใช้ขอบเขตของงาน การแบ่งโดยใช้ขอบเขตของงาน แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ประเภทผู้ใช้คนเดียว ประเภทผู้ใช้เป็นกลุ่มและประเภทองค์การขนาดใหญ่ ดังได้กล่าวรายละเอียดในตอนต้นแล้ว 3. แบ่งตามสถานที่ตั้ง การแบ่งตามสถานที่ตั้ง แบ่งออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ประเภท ศูนย์กลาง และประเภทกระจาย ทั้งสองประเภทมีรายละเอียดดังนี้ 3. 1 ประเภทศูนย์กลาง เป็นระบบฐานข้อมูลที่นำเอามาเก็บไว้ในตำแหน่งศูนย์กลาง ผู้ใช้ทุกแผนก ทุกคนจะต้องมาใช้ข้อมูลร่วมกัน ตามสิทธิ์ของผู้ใช้แต่ละกลุ่มหรือแต่ละคน 3. 2 ประเภทกระจาย เป็นระบบฐานข้อมูลที่เก็บฐานข้อมูลไว้ ณ ตำแหน่งใด ๆ ของแผนก และแต่ละแผนกใช้ฐานข้อมูลร่วมกันโดยผู้มีสิทธิ์ใช้ตามสิทธิ์ที่ได้กำหนดจากผู้มีอำนาจ การเข้าถึงข้อมูล เช่น ฐานข้อมูลของฝ่ายบุคคลเก็บไว้ที่แผนกทรัพยากรบุคคล ยอมให้ฝ่ายบัญชีนำรายชื่อของพนักงานไปใช้ร่วมกับฐานข้อมูลการจ่ายโบนัส และในขณะเดียวกันฝ่ายบัญชีมีฐานข้อมูลเก็บเงินเดือน สวัสดิการและรายจ่ายต่าง ๆ ของพนักงานเพื่อให้แผนกอื่นๆ เข้ามาใช้ได้เช่นกัน 4. แบ่งตามการใช้งาน การแบ่งตามการใช้งาน แบ่งออกเป็น 3 ประเภทใหญ่ ๆ ได้แก่ ฐานข้อมูลสำหรับงานประจำวัน ฐานข้อมูลเพื่อใช้ในการตัดสินใจ และเพื่อเป็นคลังข้อมูล 4.
December 7, 2017 Cloud and Systems, Database NoSQL นั้นได้กลายมาเป็นฐานข้อมูลหลักของหลายๆ Application ไปแล้วในปัจจุบัน และกลายเป็นหนึ่งในเทคโนโลยีสำคัญในการจัดเก็บข้อมูลในหลากหลายรูปแบบไปแล้ว อย่างไรก็ดี NoSQL นั้นมีหลายประเภท และบทความนี้ก็จะแนะนำ NoSQL Database 4 ประเภทเบื้องต้น ที่ผู้ซึ่งกำลังเริ่มศึกษาควรจะทำความรู้จักกันเอาไว้ดังนี้ครับ Credit: 1. Document Database เป็นฐานข้อมูล NoSQL ที่ทำการบันทึกข้อมูลเป็น JSON Structure หรือเป็น Document ซึ่งเป็นชุดของข้อความยาวๆ แทน ทำให้มีอิสระในการจัดเก็บข้อมูลประเภทใดๆ ก็ได้ไม่ว่าจะเป็น Integer, String หรือข้อความใดๆ ก็ตาม และไม่ต้องกำหนดประเภทหรือรูปแบบของข้อมูลล่วงหน้าแต่อย่างใด โดยตัวอย่างของ NoSQL Database กลุ่มนี้ก็ได้แก่ CouchDB และ MongoDB เป็นต้น 2. Key-value Store เป็นฐานข้อมูลที่สามารถจัดเก็บข้อมูลในรูปแบบใดๆ ก็ได้ตามอิสระ โดยข้อมูลเหล่านั้นจะสามารถถูกเข้าถึงได้ด้วยการระบุค่า Key ประจำข้อมูลนั้นๆ ตัวอย่างของฐานข้อมูลกลุ่มนี้เช่น Redis และ Riak 3. Wide Column Store เป็นฐานข้อมูลที่มีการจัดเก็บข้อมูลในแบบ Column แทน ต่างจากฐานข้อมูล SQL ที่มักจะเก็บข้อมูลเป็น Row โดยสามารถทำการจัดเก็บข้อมูลกี่คอลัมน์สำหรับข้อมูลกี่รูปแบบก็ได้ และสามารถทำการ Group หรือ Aggregate ข้อมูลเข้าด้วยกันได้ง่าย ตัวอย่างของฐานข้อมูลประเภทนี้ก็ได้แก่ HBase และ Cassandra 4.
1000 ไปจนถึงแถวๆ ค. 2037 อย่างที่บอก แต่หากเก็บเป็น VARCHAR นั้นจะไม่ติดข้อจำกัดนี้ ฟิลด์ชนิด YEAR ก็เช่นกันครับ… ใช้เนื้อที่แค่ 1 ไบต์เท่านั้นในการ เก็บข้อมูล แต่ข้อจำกัดจะอยู่ที่ ปี ค. 1901 ถึง 2155 เท่านั้น (หรือ ค.
ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ ( Relational Database) เป็นการเก็บข้อมูลในรูปแบบที่เป็นตาราง ( Table) หรือเรียกว่า รีเลชั่น ( Relation) มี ลักษณะเป็น 2 มิติ คือเป็นแถว ( row) และเป็นคอลัมน์ ( column) การเชื่อมโยงข้อมูลระหว่างตาราง จะเชื่อมโยงโดยใช้แอททริบิวต์ ( attribute) หรือคอลัมน์ที่เหมือนกันทั้งสองตารางเป็นตัวเชื่อมโยงข้อมูล ฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์นี้จะเป็นรูปแบบของฐานข้อมูลที่นิยมใช้ในปัจจุบัน 2. ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย ( Network Database) ฐานข้อมูลแบบเครือข่ายจะเป็นการรวมระเบียนต่าง ๆ และความสัมพันธ์ระหว่างระเบียนแต่จะต่างกับฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์ คือ ในฐานข้อมูลเชิงสัมพันธ์จะแฝงความสัมพันธ์เอาไว้ โดยระเบียนที่มีความสัมพันธ์กันจะต้องมีค่าของข้อมูลในแอททริบิวต์ใดแอททริบิวต์หนึ่งเหมือนกัน แต่ฐานข้อมูลแบบเครือข่าย จะแสดงความสัมพันธ์อย่างชัดเจน ตัวอย่างเช่น 3. ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น ( Hierarchical Database) ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น เป็นโครงสร้างที่จัดเก็บข้อมูลในลักษณะความสัมพันธ์แบบพ่อ-ลูก ( Parent-Child Relationship Type: PCR Type) หรือเป็นโครงสร้างรูปแบบต้นไม้ ( Tree) ข้อมูลที่จัดเก็บในที่นี้ คือ ระเบียน ( Record) ซึ่งประกอบด้วยค่าของเขตข้อมูล ( Field) ของเอนทิตี้หนึ่ง ๆ ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้นนี้คล้ายคลึงกับฐานข้อมูลแบบเครือข่าย แต่ต่างกันที่ฐานข้อมูลแบบลำดับชั้น มีกฎเพิ่มขึ้นมาอีกหนึ่งประการ คือ ในแต่ละกรอบจะมีลูกศรวิ่งเข้าหาได้ไม่เกิน 1 หัวลูกศร ประโยชน์ของฐานข้อมูล 1.
huduology.com, 2024